วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สุดยอดเทคนิคการทอดไข่เจียว

- - - - - เทคนิคการทำ "ไข่เจียวธรรมดา" ให้ฟูแล้วไม่แฟ่บ แถมกรอบนอกนุ่มในแบบไม่พึ่งตัวช่วยใดๆ - - -

วันนี้มีเมนูสุดแสนธรรมดา แต่อร่อยเหลือเชื่อมาฝากค่ะ
บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นคำถามเกี่ยวกับการทำไข่เจียวให้อร่อย
เรียกได้ว่าเป็นคำถามยอดฮิตกันเลยทีเดียว


เมนูที่จะนำเสนอวันนี้จะว่าด้วยการทำ "ไข่เจียวธรรมดา"
โดยไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์อะไรให้วุ่นวายมาฝากค่ะ

ในหลายๆเทคนิคที่เคยลองมาแล้ว เช่น

-การบีบมะนาว ผลที่ได้คือฟูตอนเจียว แต่แฟ่บตอนตักขึ้นมา
-ใส่แป้ง,ผงฟู ไข่จะฟูแล้วไม่แฟ่บ ตั้งอยู่ได้จริง แต่เนื้อไข่เจียวจะด้านไปนิดค่ะ
-การใส่น้ำมันมากๆ ไข่จะฟูฟ่องเป็นสาย แต่ค่อนข้างอมน้ำมัน เวลาทาน
จะไม่ได้เนื้อไข่สักเท่าไร
-การแยกไข่ ไข่ขาวเวลาตี ผลก็ไข่จะฟูจริง แต่เสียเวลาทำมาก มีข้อด้อยคือรูปร่างของไข่เปลี่ยนไปด้วย
ฯลฯ

วันนี้มาลองเทคนิคใหม่นี้ดูกันค่ะ ดูสิว่าจะง่ายแค่ไหน กับผลที่ได้ตามภาพนี้





เทคนิคที่ว่านั้นคือการใช้ "หม้อ" ในการเจียวไข่
นอกจากเราไม่ต้องกลัวรูปร่างไข่จะไม่สวยแล้ว

เรายังสามารถทำให้มันฟูและหนาได้ตามความต้องการ
โดยไม่ใช่ตัวช่วย หรือสารประกอบใดๆทั้งสิ้น
(ตามปกติแล้ว การใส่หมูสับ หรือใส่แป้งลงไป จะทำให้ไข่หนาขึ้นมาได้มากขึ้น
แต่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นเนื้อไข่ไก่ล้วนๆ)

เครื่องมือ+เครื่องปรุงของผม วันนี้มีแค่ 3-4 อย่างเท่านั้น
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- ซีอิ้วขาว
- หม้อ + น้ำมันสำหรับทอด





สิ่งที่ยังขาดไม่ได้ก็คือ "ไฟ"
ต้องมีความแรงอยู่พอสมควร แต่ไม่ถึงกับต้องแรงจัด
คนที่ไม่มีเตาเร่งหรือเตาฟู่ ก็ยังพอทำได้ค่ะ






นำหม้อใส่น้ำมันพืช แล้วนำไปตั้งไฟ
พอให้เริ่มมีควันเล็กน้อย ไม่ถึงกับควันโขมงนะ






สำหรับหม้อขนาดนี้ ใช้ไข่ 2 ฟอง กำลังเหมาะค่ะ
ถ้าใช้ 3 ฟองก็ยังพอได้อยู่ แต่มันจะฟูขึ้นมาจนเกือบล้นเวลาทอด
เดี๋ยวคอยดูละกันเนอะ






ปรุงรสด้วยซีอิ๋วขาวเพียงอย่างเดียว แล้วตีเร็วๆให้เข้ากัน





ตีเสร็จแล้ว อย่าวางทิ้งไว้
รีบเอาลงกระทะเลย ฟองอากาศมันจะได้ยังแฝงตัวอยู่ในเนื้อไข่
ไม่ลอยขึ้นมาจนหมด






จำไว้ว่า ถ้าอยากได้ไข่ที่ฟูกรอบ
น้ำมันจะต้องมากพอ แต่ก็ต้องไม่มากเกินไป
และต้องร้อนระดับควันขึ้นฉุยๆ แต่ไม่ใช่ควันโขมง






นับ 1





นับ 2





นับ 3





เมื่อเทไข่ลงไป ก็จะได้ผลอย่างที่เห็นในรูป
มันฟูออกมาพอดีๆหม้อ เป็นไข่เจียวกลมๆหนาๆ ที่แสนน่ากิน






กลับ 1 รอบ





ทอดไปสักครู่ จนเริ่มเห็นว่าผิวด้านบนของไข่ เริ่มแห้ง





พลิกอีกครั้งหนึ่ง เพราะไข่เจียวด้านแรก มักจะสวยกว่าอีกด้านเสมอ





เสร็จแล้วช้อนขึ้นมาโลด





เอามาวางไว้บนตะแกรงเพื่อสะเด็ดน้ำมัน
ถ้าเป็นไข่แบบบีบมะนาว รับรองแฟ่บตั้งแต่ตักขึ้นจากกระทะ






ภาพด้านข้างของไข่เจียว ที่ฟูแล้วไม่แฟ่บค่ะ





การใช้หม้อทอดไข่ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ทุกข้อเลยค่ะ
ทั้งความง่ายในการทอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับไข่ ที่ทุกคนเป็นห่วง
เพราะดูแล้วหม้อมันจะคับแคบ และกลับยาก

แต่ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดค่ะ
เพราะไข่จะลอยอยู่บนน้ำมัน และไม่ได้แตะก้นหม้อแต่อย่างใด
ดังนั้นการกลับก็แค่ใช้ตะหลิว หรือแม้กระทั้งช้อนกินข้าวนี่ล่ะ
ตลบมันกลับอีกด้าน ไม่ต้องกลัวมันแตกหรือขาดอย่างเวลาใช้กระทะทอดด้วยค่ะ
คือทำอย่างไรมันก็จะเป็นรูปกลมๆหนาๆ น่ากินเช่นนี้เสมอๆ

นอกจากจะฟูแล้วไม่แฟ่บ
มันยังมีเนื้อไข่สีเหลืองๆนุ่มๆให้เราได้สัมผัสด้านในด้วย
ไม่ใช่ว่าฟูกรอบจนไม่เหลือเนื้อไข่นะ

แบบนี้สิ ไข่เจียวในฝันเลยยย






เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมม





ไข่เจียวโป๊ะข้าวสวยร้อนๆ





เป็นไข่เจียวที่ทำง่าย อร่อยง่าย และพลาดยากมากๆ
ขอเพียงมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและใกล้เคียง
ส่วนเทคนิคในการทำนั้น แทบไม่มีอะไรเลยค่ะ

เป็นไข่เจียวที่ทอดทีไร
ก็ออกมาเหมือนกันทุกครั้ง แบบไม่ต้องลุ้นเลย



เครดิต : http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D8212169/D8212169.html

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ร้าน ก๋วยเตี๋ยวบ้านแม่ยาย


วันนี้เราทีมงานตามรอยนักชิมได้มุ่งหน้าไปตามหาร้านอาหารประเภทเส้น..เส้น
อย่างเดียวเลยจริงๆนะ อิอิ. ในระหว่างทางที่เรากำลังขับรถไปนั้น จู่ๆเสียง
โทรศัพท์ก็ดังขึ้น กริ้งๆๆ ทางสายลับของเราแอบแจ้งเบาะแสเข้ามาว่าร้านที่ตกเป็น
ผู้ต้องสงสัยว่าจะเจ๋งจริงได้แก่ ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านแม่ยายที่เปิดมาปีกว่าๆแล้ว เราทีมงานตามรอยนักชิมจึงรีบมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุความอร่อยนั้นทันที.....




เมื่อเรามาถึงก็ต่างตื่นตาตื่นใจนึกไม่ถึงว่าภายในซอยเล็กๆนี้จะมีร้านที่ตกแต่ง
ได้อย่างสวยงามและเรียบง่ายบวกกับเพลงเบาๆที่ทางร้านเปิดบรรยากาศที่ร่มรื่น
ลมพัดเย็นสบายเหมาะแก่การนั่งโซ้ยก๋วยเตี๋ยวแบบชิวๆเป็นที่สุดพอรู้สึกตัวอีกทีก็
ซัดไปหลายล่ะ หุหุ บรรยากาศภายในร้านจะเน้นสีโทนอ่อนทำให้สบายตา
และรู้สึกกว้างกินเท่าไหร่ก็ไม่อึดอัดเลย





ทันทีที่เราได้เจอกับผู้ดูแลร้านทำให้เราอดที่จะถามถึงความเป็นมาของชื่อว่า
มีที่มาอย่างไร......ปรากฏว่าถามไปถามมา “แม่ยาย”คนนี้เป็นแม่ยายของเพื่อน
คุณป้าง(นครินทร์ กิ่งศักดิ์) อีกทีนั้นเอง คือเจ้าของจริงๆนั้นชื่อว่า
คุณ แมนพงษ์ เสนาณรงค์
และ คุณ พวงรัตน์ เสนาณรงค์
และที่ๆใช้เปิดร้านก็เป็นที่ดินของแม่ยายด้วย เค้าก็เลยนำชื่อนี้มาตั้งนั้นเองจ้า




และแล้วก็ถึงเวลาแห่งการรอคอยกับเมนูเด็ดยอดฮิตประจำร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านแม่ยาย เมนูที่ทางร้านจัดมาให้ก็จะเป็น 3 เมนูหลักที่ใครๆมาก็จะต้องสั่งขณะที่เรานั่งรอ...
เจ้ากลิ่นของก๋วยเตี๋ยวนั้น
ก็ฟุ้งอบอวนไปทั่วบริเวณไปหมดทำให้น้ำย่อยตัวดีของเรา
มันเริ่มทำงานแล้วสิ จนอดใจรอไม่ไหวต้องคอยชะเง้อมองว่าจะมาเสิร์ฟ
ที่โต๊ะเรายังน้า....หอมๆ

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย….

เป็นจานแรกที่เราจะได้ลิ้มรสกัน อิอิ ดีใจๆ รสชาติของชามนี้บอกได้เลยว่ากลมกล่อมแต่อาจจะต้องปรุงเองสักนิดเพราะทางร้าน
จะทำรสชาติแบบดั้งเดิมคือไม่เน้นปรุงมาให้แน่นอนว่ารสชาติปากแต่ล่ะคนนั้น
ไม่เหมือนกัน...

เรื่องเส้นของก๋วยเตี๋ยวเองเค้าก็พีถีพิถันในการทำจนนิ่มไม่แข็งกะด้างจนเกินไป ทันทีที่เราใช้ตะเกียบคีบเนื้อเปื่อยขึ้นมา บอกได้เลยว่ากลิ่นมันเตะจมูกอย่างแรง
และชวนให้รีบนำเข้าปาก อิอิ เนื้อเปื่อยของที่นี่จะมีลักษณะเป็นชิ้นยาวๆนิดนึง
เค้าตุ๋นจนมีความเปื่อยและนิ่มมากจริงๆยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งมันพะย่ะค่ะ






เนื้อเปื่อยปิ้งจิ้มแจ่ม

จานที่สองตามมาเสิร์ฟติดๆกับเนื้อเปื่อยปิ้งจิ้มแจ่ว จ้า กลิ่นหอมสดชื่นดีจริงๆ
(อิอิไม่ใช่ดอกไม้) เนื้อเปื่อยที่นำไปปิ้งนั้นก็ยิ่งเพิ่มรสชาติให้อร่อยขึ้นเป็นทวีคูณ
ต่างจากการตุ๋นเพราะการปิ้งจะช่วยให้มีความกรอบนอกนุ่มในและเนื้อออกมันหน่อยๆ นอกจากตัวเนื้อเองแล้วน้ำจิ้มก็เด็ดไม่แพ้กัน คือสองอย่างนี้พูดได้เลยว่าลงตัวจริงๆแนะนำให้เพื่อนๆไปลองอย่างยิ่ง
ของเขาอร่อยดีจริงๆ







ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรโบราณ

จานที่สามรูปร่างหน้าตาก็คงจะไม่แปลกสักเท่าไหร่เพราะมันก็คือก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
ที่เราเห็นขายกันอยู่ทั่วๆไปแต่เมนูนี้เค้าภูมิใจเสนอ...... และย้ำกับเราว่า
มันเป็นสูตรโบราณจริงๆ ฉะนั้นจะประมาทมองแค่เปลือกนอกไม่ได้ซะแล้ว อิอิ


ต้องลิ้มรสให้เข้าถึงเนื้อในพอตักเข้าปากเท่านั้นแหละ
..ตาดำเปิดกว้างเหงื่อหยด
ติ้งๆเลย ฮ่า ฮ่า อร่อยจริงๆ
คือไม่ต้องปรุงเพิ่มรสชาติลงตัวมากๆหอมกลิ่นต้มยำแท้ๆ
เน้นรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดด้วยมะนาวแท้ โดยมีรสเค็มรสหวานตามใส่ถั่วแขก
และถั่วลิสงบวกกับเกี้ยวทอดและ เครื่องอื่นๆมีหมูสับ ตับ หมู
อีกด้วยเรียกว่าครบเครื่องจริงๆ





และนอกจากของคาวแล้วเรามาดูของหวานกันบ้าง ก็จะมีให้เลือกสรรหลากหลาย

1.ลอดช่องน้ำกะทิ
2.รวมมิตรกะทินมสด
3. ลูกตาลลอยแก้ว
4.สละลอยแก้ว
5. เต้าทึง






หน้าตานามบัตรและแผนที่ของร้าน ก๋วยเตี๋ยวบ้านแม่ยาย….

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจากชุมชนเก่าริมน้ำ ย่านท่าหลวง แห่งเมืองจันทบุรี

...ชุมชนเก่าเปรียบเสมือนตัวแทนที่คอยบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของวิถีชีวิต
และวัฒนธรรมในอดีตของคนเมืองนั้นๆ เช่น เดียวกับ ย่านท่าหลวง ชุมเก่าริมน้ำ
แห่งเมืองจันทบุรี ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี เป็นสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่มีไว้ให้พวกเรากลุ่มชนรุ่นหลัง ได้ซึมซับถึงความงดงามของความเจริญรุ่งเรืองของเมืองจันในอดีต



การเดินทางเพื่อไปเรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนเก่าแห่งนี้จุดเริ่มต้นในการเดิน
คือ จากเชิงสะพานวัดจันทร์ ผ่านบ้านท่าหลวงยาวเป็นแนวไปตลอดจนถึงชุมชน
ตลาดล่างประมาณ 1 ก.ม. และร้านแรกที่เราเจอ คือ ร้านตัดผมแบบเก่า ซึ่งยังคงเป็นที่เป็นที่นิยมของคนในชุมชนไม่เสื่อมคลาย




เดินมาเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงร้านต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปากทางเชิงวัดจันทร์นัก
คือ ร้าน ขายของที่ระลึก “ริมน้ำจันทบูร” ขายทั้งเสื้อ โปสการ์ด ร้านนี้เป็นเพียงร้านขายของที่ระลึกเพียงแห่งเดียวในย่านนี้
ร้านตกแต่งได้น่ารักมากค่ะ



มีโปสการ์ดบอกเล่าเรื่องราวของเมืองจันทบุรีมากมาย





เสื้อของที่ระลึกอีกสิ่งหนึ่งเป็นที่นิยมของทุกสถานที่ท่องเที่ยวที่เรามักจะได้พบเห็น
อยู่บ่อยครั้งไม่เว้นแม้แต่ที่นี่



รถคู่ใจของเจ้าของร้าน




ย่านท่าหลวง เป็นชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำจันทบุรีด้านตะวันตก แต่เดิมรู้จักกันในชื่อที่เรียกกันติดปากว่า"บ้านลุ่ม" ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวจีนและญวนอพยพตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาได้พัฒนามาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของจันทบุรีที่สำคัญ
แห่งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5




ย่านท่าหลวง มีลักษณะเป็นตึกแถวโบราณมีลวดลายไม้จำหลักอ่อนช้อยงดงาม อยู่ตามบานประตูหน้าต่างและมุมอาคารซึ่งจะพบรูปแบบเรือนขนมปังขิงปะปน
อยู่ด้วย เพราะชาวจันทบุรีได้รับอิทธิพลจากการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศ
เมื่อสมัย ร. 5








ตลาดเวลาที่เราเดินชมบ้านเรือนเหล่านี้ รู้สึกอบอุ่นมากมาย
อบอุ่นด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพของผู้คนในย่านนี้
โดยเฉพาะคือ ผู้เฒ่า ผู้แก่ ที่เรามักจะได้เห็นแทบทุกบ้าน
ทุกครั้งที่เราเดินไปหาและขอถ่ายรูป ทุกๆ ท่านจะยิ้มให้
และไถ่ถามด้วยความเป็นเอง
"มาจากไหนเหรอหนู แล้วมากี่วัน มายังไงกัน"
หลังจากเราบอกขอถ่ายรูปหน่อยน่ะค่ะ
ทุกๆท่านก็ยิ้มให้เราถ่ายรูปอย่างยินดี








เดินมาได้เกือบจะครึ่งซอย ก็มองไปเห็นร้านกาแฟน่านั่งร้านหนึ่ง
ชื่อ "ยินดีอาภรณ์ "ตั้งชื่อได้น่ารักเก๋ไก๋ ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งพักผ่อน
จิบโกโก้ของโปรดให้สบายอารมณ์ กันซักหน่อย






บรรยากาศอีกมุมนึงของร้าน ติดริมน้ำเย็นสบาย




เดินมาเรื่อยๆ ก็มาเจอร้านขายยาจีนโบราณ หันไปมองเห็นภาษาจีนๆ
เขียนเยอะมากตามแต่ละลิ้นชัก เลยถามคุณป้าเจ้าของร้านว่า
"คืออะไรค่ะ" คุณป้าบอกว่า "ชื่อยาจ๊ะหนู" โห เยอะแยะมากมาย







อาคารหลังนี้คือ ร้านขนมไข่ป้าไต๊ เป็นบ้านเก่าแก่ ซึ่งแต่เดิมเป็นโรงพิมพ์เก่า
ต่อมา ขุนบุรพาพิผล ได้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ เป็นที่อยู่อาศัยจนรุนลุกรุ่นหลาน ปัจจุบันลุกหลานได้ประกอบอาชีพขายขขนมไข่ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งใน
จังหวัดจันทบุรี นิยมเรียกว่า"ขนมไข่ป้าไต๊ " ปัจจุบันสิ่งที่มีคุณค่าและสร้าง
ความภูมิใจให้แก่ลูกหลาน คือรูปทรงตึกทรงยุโรป ลวดลายกระเบื้องดินเผา
สีสันสวยงาม รวมทั้งสิ่งของสำคัญในอดีต ต่างๆ เช่นหนังสือโบราณสมัย
ร.ศ 120 ตำรายาโบราณ และเอกสารต่างๆ ที่หายาก







บานประตูข้างร้านขนม "ป้าไต๊" สีสรรสวยงาม





เดินเข้าซอยเล็กๆมาเพื่อชมบรรยากาศริมน้ำในยามบ่ายแก่ๆ
ฝั่งตรงข้ามกันคือโบสต์คริสต์ เมืองจันทร์
ที่ตอนนี้กำลังบูรณะซ่อมแซมอยู่




นอกจากนี้ย่านเก่าท่าหลวง ยังเป็นที่นิยมของกองถ่ายละคร
และกองถ่ายภาพยนตร์ รวมทั้งภาพยนตร์โฆษณา
มาใช้โลเกชั่นบริเวณนี้กันบ่อยๆ อาทิ ละคร อยู่กับก๋ง
และบริเวณนี่ก็เป็นที่ยทำ โฆษณารังนกสก๊อต ดู ดู๊ ดู ดูเธอทำ





เดินไปเกือบจะสุดซอย และก็ย้อนกลับมาทางเดิน เก็บภาพของบ้านหลังนี้
ที่มีพี่คนนึงเดินมาบอกว่า บ้านหลังนี้หนังสือก็นิยามมาถ่ายบ่อย
ชื่อบ้าน ดำริพานิช แถมเล่าประวัติให้เราฟังเรียบร้อย
ว่าบ้านหลังนี้แต่ก่อนเคยเป็นร้านขายน้ำมะเน็ต
น้ำอัดลมโบราณ นั่นเอง




บ้านเรือนโบราณรูปแบบต่างๆ

















สำหรับบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าแก่ ที่เคยเป็นเรสเตอร์รองมาก่อน





จบแล้วค่ะกับ เรื่องเล่าจากชุมเก่า ย่านท่าหลวง ชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และได้มีอนุรักษ์เอาไว้เพื่อการท่องเที่ยว หากใครได้มีโอกาสแวะมาเมืองจันทบุรี หลังจากได้ไปชื่นชมกับ
สถานที่ท่องเที่ยวที่แสนจะฮิตของที่นี่แล้ว ก็อย่าลืมแวะมาเรียนรู้มา
สัมสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ผ่านเรื่องราวของชุมขนริมน้ำ
ย่านท่าหลวงแห่งนี้น่ะค่ะ


การเดินทางไปชุมชนเก่าริมน้ำ ย่านท่าหลวง

1. รถยนต์ส่วนตัว
เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดจันทบุรี ผ่านศาลหลักเมืองบริเวณหน้าค่ายตากสินแล้ว ขับรถผ่านหน้าสถานีตำรวจภูธร จังหวัดจันทบุรี ถึงเชิงสะพานวัดจันทร์ หาที่จอดรถ ชุมชนย่านท่าหลวงจะอยู่ทางด้านขวามือ



2. โดยรถสาธารณะ
- รถตู้ไปจันทบุรี ขึ้นรถที่เซ็นจูรี่ให้บริการทุกวัน เริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า - 1 ทุ่ม
ราคาเที่ยวละ 200 บาท โดยรถตู้จะจอดที่ห้างโรบินสัน จากนั้นนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างบอกว่าไปลวสะพานวัดจันทร์ ค่าโดยสาร 25 บาท

- รถโดยสารปรับอากาศ บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการออกจากสถานีขนส่ง
สายตะวันออก (เอกมัย) และหมอชิต ทุกวัน ตั้งแต่ 04.00 - 24.00 น. ออกทุกชั่วโมง
สอบถามรายละเอียด โทร. 0 2391 8097, 0 2391 2504 www.transport.co.th บริษัทเดินรถเอกชนวิ่งบริการ ได้แก่
เชิดชัยทัวร์ โทร. 0 2391 4146, 0 3935 0357
พรนิภาทัวร์ โทร. 0 2391 5179, 0 3931 1278
ศุภรัตน์ทัวร์ โทร. 0 2391 2331, 0 3931- รถโดยสารปรับอากาศ
จากนั้นนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างบอกว่าไปลวสะพานวัดจันทร์ ค่าโดยสาร 25-30 บาท